ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร?
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คือ การนำสารเติมเต็มผิว (โดยส่วนใหญ่จะเป็นสารไฮยาลูรอนิค แอซิด) มาฉีดเข้าไปในบริเวณใต้ตา เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น
- ใต้ตาคล้ำ: ช่วยเติมเต็มร่องลึกใต้ตา ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
- ถุงใต้ตา: ช่วยยกกระชับผิวใต้ตาให้เต่งตึงขึ้น
- ริ้วรอยใต้ตา: ช่วยเติมเต็มร่องลึกและริ้วรอยต่างๆ
- เบ้าตาลึก: ช่วยเติมเต็มเบ้าตาให้ดูเต็มขึ้น
ทำไมต้องฉีดฟิลเลอร์ที่ตา?
- แก้ปัญหาได้รวดเร็ว: เห็นผลหลังฉีดทันที
- ไม่ต้องผ่าตัด: เป็นการรักษาที่ไม่รุกล้ำ
- ปลอดภัย: สารที่ใช้เติมเต็มได้รับการรับรอง
- ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ: ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น
ข้อควรระวังและผลข้างเคียง
- เลือกคลินิกและแพทย์: ควรเลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานและแพทย์ที่มีประสบการณ์
- ผลข้างเคียง: อาจมีอาการบวม แดง ช้ำ หรือคันบริเวณที่ฉีด ซึ่งจะหายไปเองภายในไม่กี่วัน
- ผลลัพธ์ไม่ถาวร: สารเติมเต็มจะค่อยๆ สลายตัวไปตามธรรมชาติ
ข้อแนะนำและขั้นตอนต่างๆเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์
1.ประเภทของสารเติมเต็มที่ใช้ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
สารเติมเต็มที่นิยมใช้ในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาส่วนใหญ่จะเป็น ไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic acid หรือ HA) ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายคนเรามีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ทำหน้าที่อุ้มน้ำให้ผิวชุ่มชื้น เมื่อนำมาฉีดเข้าไปในบริเวณใต้ตา จะช่วยเติมเต็มร่องลึก ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น และยังช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นมากขึ้นอีกด้วย
เหตุผลที่เลือกใช้ HA ในการฉีดฟิลเลอร์
- ปลอดภัย: HA เป็นสารที่เข้ากันได้ดีกับร่างกาย มีโอกาสเกิดอาการแพ้น้อย
- ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ: ทำให้ผิวดูอิ่มฟู ไม่แข็งกระด้าง
- สลายตัวได้เองตามธรรมชาติ: หากไม่พอใจผลลัพธ์ สามารถใช้ยาเพื่อสลาย HA ได้
ประเภทของ HA ที่ใช้ฉีดฟิลเลอร์
HA แต่ละยี่ห้อจะมีความเข้มข้นและความหนืดต่างกัน ซึ่งจะเหมาะกับการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกัน โดยทั่วไป HA ที่ใช้ฉีดใต้ตาจะมีความหนืดน้อยกว่าที่ใช้ฉีดส่วนอื่นๆ ของใบหน้า เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด
ปัจจัยที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกชนิดของ HA
- ความลึกของร่องลึกใต้ตา: หากร่องลึกมาก อาจต้องใช้ HA ที่มีความเข้มข้นสูงขึ้น
- ปัญหาที่ต้องการแก้ไข: เช่น ใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตา หรือริ้วรอย
- สภาพผิว: แพทย์จะพิจารณาถึงสภาพผิวของแต่ละบุคคล เพื่อเลือก HA ที่เหมาะสมที่สุด
2.ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นขั้นตอนที่ค่อนข้างละเอียดและต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ โดยทั่วไปขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์จะมีดังนี้ค่ะ
1. ปรึกษาแพทย์
-
ประเมินปัญหา: แพทย์จะทำการประเมินสภาพผิวบริเวณใต้ตาของคุณ เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและหาสาเหตุที่แท้จริง
-
เลือกชนิดของฟิลเลอร์: แพทย์จะเลือกชนิดของฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวและปัญหาของคุณ
-
วางแผนการรักษา: แพทย์จะวางแผนการรักษาโดยละเอียด โดยคำนึงถึงปริมาณฟิลเลอร์ที่ต้องใช้ และตำแหน่งที่ต้องฉีด
2. ทำความสะอาดผิว
-
บริเวณรอบดวงตาจะถูกทำความสะอาดอย่างละเอียด เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและเครื่องสำอาง
3. ทายาชา
-
แพทย์จะทายาชาบริเวณใต้ตา เพื่อลดความรู้สึกเจ็บระหว่างการฉีด
4. ฉีดฟิลเลอร์
-
แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในบริเวณใต้ตาที่ต้องการแก้ไข โดยจะฉีดเป็นจุดๆ หรือเป็นเส้นๆ ขึ้นอยู่กับปัญหาและเทคนิคของแพทย์
5. ประคบเย็น
-
หลังจากฉีดฟิลเลอร์เสร็จ แพทย์จะประคบเย็นบริเวณที่ฉีด เพื่อลดอาการบวมและช่วยให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัว
6. ดูแลหลังการฉีด
-
แพทย์จะให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังการฉีด เช่น หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น
ข้อควรระวังและผลข้างเคียง
-
ผลข้างเคียง: หลังการฉีดอาจมีอาการบวม ช้ำ แดง หรือคันบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปเองภายในไม่กี่วัน
-
เลือกคลินิกและแพทย์: ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อความปลอดภัย
-
ผลลัพธ์ไม่ถาวร: ผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และการดูแลของแต่ละบุคคล
3.การดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เพื่อผลลัพธ์ที่สวยงามและยั่งยืน
หลังจากการฉีดฟิลเลอร์แล้ว การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวยงามเป็นธรรมชาติและคงอยู่ได้นานยิ่งขึ้นค่ะ
ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์
-
ประคบเย็น: ช่วยลดอาการบวมและรอยช้ำ โดยใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเย็นประคบเบาๆ บริเวณที่ฉีด
-
หลีกเลี่ยงการสัมผัส: ไม่ควรขยี้ตา เกา หรือใช้นิ้วกดบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันการอักเสบและการเคลื่อนตัวของฟิลเลอร์
-
พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
-
ทานยาตามที่แพทย์สั่ง: ควรทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพื่อลดอาการบวมและป้องกันการติดเชื้อ
-
หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดเหงื่อ: เช่น การออกกำลังกายหนัก ซาวน่า หรือการอยู่ในที่ร้อนจัด
-
งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจทำให้เกิดอาการบวมได้มากขึ้น
-
งดสูบบุหรี่: นิโคตินในบุหรี่จะทำให้การไหลเวียนเลือดไม่ดี อาจส่งผลต่อการรักษา
-
หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด: อาหารรสจัดอาจทำให้เกิดการอักเสบได้
-
แต่งหน้าเบาๆ: สามารถแต่งหน้าเบาๆ ได้หลังจากผ่านไป 24 ชั่วโมง
ข้อควรระวัง
-
สังเกตอาการ: หากมีอาการผิดปกติ เช่น บวมมากขึ้น ร้อน แดง หรือปวดมาก ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
-
กลับไปพบแพทย์ตามนัด: ควรกลับไปพบแพทย์ตามนัด เพื่อติดตามผลการรักษา
ผลลัพธ์ที่คาดหวัง
โดยทั่วไป อาการบวมและรอยช้ำจะค่อยๆ หายไปภายใน 7-14 วัน ผลลัพธ์ที่ได้จะเห็นได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และจะคงอยู่ได้นานหลายเดือนถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และการดูแลของแต่ละบุคคล
การดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นสิ่งสำคัญมาก หากคุณปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและเป็นธรรมชาติ
หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามแพทย์ได้โดยตรงค่ะ
คำแนะนำเพิ่มเติม:
-
เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน: ควรเลือกคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือและมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
-
ศึกษาข้อมูลให้ละเอียด: ก่อนตัดสินใจทำการรักษา ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาให้ละเอียด
-
เปรียบเทียบราคา: สอบถามราคาจากหลายๆ คลินิก เพื่อเปรียบเทียบและเลือกราคาที่เหมาะสมกับงบประมาณ
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นทางเลือกหนึ่งในการดูแลผิวพรรณ แต่ควรทำความเข้าใจถึงข้อดีข้อเสียและผลข้างเคียงก่อนตัดสินใจ
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์และประสิทธิภาพสูงสุดทีมงาน Seoul Beauty ยินดีให้คำปรึกษาและแนะนำในการทำศัลยกรรมในทุกขั้นตอน ให้รายละเอียดครบถ้วน พร้อมทั้งเลือกทีม Speciallist ให้กับคุณลูกค้าได้อย่างตรงใจมากที่สุดด้วยโรงพยาบาล และ Sugery Service Center มากกว่า 20 แห่งชั้นนำของประเทศเกาหลีใต้
ประเมินราคาศัลยกรรม
ส่งรูปใบหน้าของคุณ ตามมุมของใบหน้าด้านต่างๆ ที่กำหนดเพื่อความชัดเจน ถูกต้องเกี่ยวกับโครงสร้างใบหน้าของคุณได้อย่างถูกต้อง เพื่อการวางแผน ประเมินรูปแบบ เทคนิคพิเศษต่างๆในการแก้ปัญหา หรือศัลยกรรมในส่วนต่างๆตามความต้องการของคุณ
- รูปภาพใบหน้าของลูกค้า ไม่เกิน 1 เดือน หรือรูปภาพใบหน้าล่าสุดที่มี
- มัดผมและนวบผมให้เรียบร้อย เพื่อให้เห็นโครงสร้างใบหน้าชัดเจน
- งดการใส่แว่นตา และ คอนเทคเลนส์ สี หรือ Big Eyes ก่อนถ่ายภาพ
- งดการแต่งหน้า และใช้ App/Effect ต่างๆในการแต่งภาพ
- ส่งรูปภาพพร้อมรายละเอียดมาที่ Line Official @seoulbeauty